กายจิตของคนเรานี้ได้รับอิทธิพลจากสนามพลังของโลกและจักรวาล
ตั้งแต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และจักรราศีต่างๆ
สนามแม่เหล็กโลกซึ่งยังเปลี่ยนแปรกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว
ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำในมหาสมุทร คลื่นใต้น้ำและเหนือน้ำ อุณหภูมิของโลก
พายุฝนฟ้า เป็นต้น
ท้ายที่สุดคลื่นที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงไฟ เตาอบ
ไดเป่าผม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์กระทั่งเสียงดนตรี เพลง เสียงสวดมนต์
รวมไปถึงคลื่นข่าว คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง
ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เหล่านี้คือ
องค์รวมของสิ่งต่างๆที่ส่งผลกลับไปกลับมาต่อชีวิตจิตใจของคนเรา
เป็นที่รู้กันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งคนเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้
ต่างได้รับพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลาจาก พลังชีวิตของโลก พลังนี้ก็คือสนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง มันเป็นสนามพลังอ่อนๆที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อไหร่เราไม่ได้รับพลังนี้ ก็อาจเป็นเหตุให้เราป่วยเจ็บได้
คนเราไม่รู้จักความสำคัญของสนามแม่เหล็ก
จนกระทั่งนักบินอวกาศทั้งสหรัฐและรัสเซียเกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตัว มึนหัว เมื่อทำงานอยู่ในอวกาศนาน
องค์การนาซ่าเริ่มสังเกตอาการนี้ได้ จากนักบินรุ่นแรกๆ
ซึ่งต้องออกไปนอกโลกพ้นจากแรงดึงดูดของโลก ปรากฏอาการเหล่านี้เหมือนกัน
เขาเรียกชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า
“โรคอวกาศ (space sickness)”
จนในที่สุดองค์การนาซา NASA จึงต้องสร้าง
สนามแม่เหล็กเทียมขึ้นในสถานีอวกาศ
โดยให้สนามดังกล่าวมีความถี่ที่ 7.8 ครั้ง/วินาที ซึ่งเท่ากับสนามแม่เหล็กโลก [1] “โรคอวกาศ” จึงหายไป
ขณะเดียวกัน ชุดอวกาศของรัสเซียยังได้ออกแบบให้ใส่แม่เหล็กไว้ตามจุดต่าง ๆ
เพื่อรักษาสุขภาพของนักบินอวกาศด้วย ( ข้อมูลเพิ่มเติมล่างสุด )
ในญี่ปุ่น นักวิจัยชื่อ
ไคโออิชิ นาคากาวา
พบว่า คนงานก่อสร้างตึกสูงที่ต้องใช้โครงเหล็กเป็นจำนวนมาก
มักป่วยด้วยอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง นอนไม่หลับ
เขาพบว่าโครงเหล็กที่เป็นแผ่นของตึก ทำหน้าที่เป็นฉนวน
ที่กันเอาสนามแม่เหล็กโลกออกไปจากพื้นที่ภายในอาคาร
เป็นผลให้คนงานเกิดอาการป่วยเจ็บได้
เมื่อสร้างตึกไปหลาย ๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว
ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ
อาการเหล่านี้ พบอีกในเวลา 30 ปีหลัง [2]
ประเด็นนี้เป็นเรื่องน่าคิดต่อไปว่า ทุกวันนี้ชาวสำนักงานทำงานอยู่ในตึกสูงเสียโดยส่วนมาก
อาการเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อย อาจเกิดจากภาวะพร่องสนามแม่เหล็กโลกก็ได้
และเหตุฉะนี้เอง การพักผ่อนตากอากาศ พาตัวเองไปอยู่ในท่ามกลางภูเขา
แม่น้ำ ทะเล จึงเปิดโอกาสให้คนเราได้รับการอาบไล้จากสนามแม่เหล็กโลก
เพิ่มพลังชีวิตสำหรับการทำงานอันตรากตรำในวันต่อๆ ไป
และขณะเดียวกันการใช้อุปกรณ์ที่ให้สนามแม่เหล็กอ่อน ๆ
แก่ร่างกายของคนที่เจ็บป่วยด้วยภาวะพร่องสนามแม่เหล็ก
ก็จะพบว่าอาการป่วยเจ็บดีขึ้น
นักสัตววิทยายังสังเกตว่า
สัตว์แต่ละชนิดรับรู้ต่อสนามแม่เหล็กโลกที่แตกต่างกัน
นกพิราบสื่อสารสามารถหาทางบินกลับรังได้
ก็เพราะบางส่วนในสมองของมันรับรู้ต่อความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกในจุดที่
แตกต่างกัน
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งทดลองใช้เครื่องปล่อยสัญญาณวิทยุขนาดเล็กติดไว้ที่
หัวนกพิราบ สัญญาณดังกล่าวรบกวนการรับรู้สนามแม่เหล็กโลกของนกพิราบ
ทำให้นกไม่สามารถบินกลับรังได้ ข้อคิดจากเรื่องนี้มีอยู่ว่า
คนสมัยนี้ขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้าน
แต่มัวหลงระเริงโทรศัพท์มือถือคุยกับแฟนอยู่ตลอดเวลา อาจถึงกับหลงทิศผิดทาง
กลับบ้านไม่ถูกก็เป็นได้
ทีนี้มาถึงก้อนหินและแร่ธาตุบ้าง นักธรณีวิทยาเชื่อว่า
สนามแม่เหล็กโลกเกิดขึ้นโดยเหล็กหลอมละลายที่เป็นลาวาอยู่ใต้พื้นโลก
เมื่อภูเขาไฟระเบิดลาวาที่พุขึ้นแล้วเย็นตัวลงเป็นก้อนหินชนิดต่างๆ
และกลายเป็นเปลือกโลกทีละชั้นๆ
เปลือกโลกซึ่งก็ประกอบด้วยก้อนหินที่ปนธาตุเหล็กเหล่านี้จึงแฝงไว้ด้วยสนาม
แม่เหล็กแรงบ้าง ค่อยบ้าง อยู่ภายในหินชั้นต่างๆ เหล่านี้
ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ซึ่งวิวัฒนาการมาควบคู่กับกำเนิดของ
โลก ต่างก็มีอิทธิผลของสนามแม่เหล็กโลกแฝงอยู่ในทุกๆ อณูของชีวิตอยู่ด้วย
นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมนกพิราบจึงรับรู้สนามแม่เหล็กได้
เหตุเพราะว่าในสมองบางพื้นที่ของนก ปรากฏมีแร่ธาตุแมกเนไตต์อยู่มากเป็นพิเศษ
และงานวิจัยในระยะหลังก็พิสูจน์ด้วยว่า
สมองของคนเราก็มีแมกเนไตต์อยู่ใน พื้นที่บางส่วน รวมทั้งที่ต่อมหมวกไตด้วย
ตรงนี้เป็นข้อสันนิษฐานด้วยว่า
นักเพ่งพลังจิตบางคนที่สามารถใช้ไม้รูปตัววาย
หาแหล่งน้ำใต้ดินได้ก็อาศัยแมกเนไตต์ในสมองบางส่วน
และความสามารถนี้จะหมดไปทันทีถ้าให้เขาสวมหมวกและปิดพื้นที่ต่อมหมวกไตด้วย เครื่องป้องกันสนามแม่เหล็ก
ความรู้ต่อมาว่าด้วยสนามแม่เหล็กกับสิ่งมีชีวิตยังพบอีกด้วยว่า
ทิศทางและการหันขั้วของสนามแม่เหล็ก มีผลที่แตกต่างกันต่อการเจริญเติบโตและการเผาผลาญภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต
นักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองปลูกเมล็ดข้าวรายด้วยการวางเมล็ดตามยาว
และตามขวางต่อสนามแม่เหล็กโลกแล้วพบว่า เมล็ดที่วางไว้ให้ทอดตัวตามแนวเหนือ
ใต้สามารถงอกและเติบโตดีกว่าเมล็ดที่ ถูกวางไว้ตามขวาง
ความรู้ละเอียดกว่านั้นยังพบอีกว่า ความเข้มจางของสนามแม่เหล็กโลกแปรเปลี่ยนตามแต่ละสถานที่
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของเปลือกโลกในแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน รวมทั้งปริมาณแร่ธาตุใต้พื้นดินแต่ละแห่งที่แตกต่างกันด้วย
นักธรณีวิทยาพบว่าสนามแม่เหล็กโลกที่อเมริกาหรือรัสเซียมีความเข้มกว่า สนามแม่เหล็กโลกที่บราซิล
สนามแม่เหล็กยังเปลี่ยนแปรตามช่วงเวลาอีก
ด้วย เวลากลางคืนสนามแม่เหล็กโลกจะเข้ม กว่าเวลากลางวัน
สาเหตุเพราะอิทธิพลของดวงอาทิตย์
ยามกลางวันพื้นโลกส่วนนั้นหันเข้าหาดวงอาทิตย์
แรงจากดวงอาทิตย์ทำให้สนามแม่เหล็กโลกไม่อาจเปล่งพลังสู่พื้นโลกเท่าที่ควร
ยามกลางคืนพื้นโลกส่วนนั้นหันออกจากดวงอาทิตย์
แรงสนามแม่เหล็กโลกจึงเปล่งพลังสู่พื้นโลกได้เต็มที่
และเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกช่วยจรรโลงสุขภาพ
ดังนั้น การนอนกลางคืนร่างกายมีโอกาส “ชาร์จพลัง” เพิ่มขึ้น ทำให้ตื่นด้วยความสดใสกระปรี้กระเปร่า
ส่วนการนอนกลางวันร่างกายมีโอกาส “ชาร์จพลัง” ได้น้อยกว่า และใครที่ทำงานกลางคืนนอนกลางวัน สุขภาพจึงมักจะโทรมเร็ว
วัยรุ่นวัยหวานโปรดฟังทางนี้ การนอนดึกๆ เล่นเน็ต ไม่หลับไม่นอนนั้น โทรมเร็วสุดสุดเด้อ…สิบอกไห่
สนามแม่เหล็กโลกโดยปกติจะสั่นสะเทือนด้วยความถี่ 7.8 รอบ/วินาที
ขณะเดียวกันยังมีการสั่นสะเทือนขนาดจิ๋วที่แปรเปลี่ยนอยู่ในระหว่างคลื่น
สั่นสะเทือนพื้นฐานอีกด้วย มันมีขนาด 1 รอบจนถึง 25 รอบ/วินาที
นักธรณีวิทยายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกแปร
เปลี่ยนเป็นวัฏจักรคือลดลงและเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้โดยมีรอบระยะของการลดและการเพิ่มรอบละ 500,000 ปี และโลก ณ
ขณะนี้อยู่ในระยะที่ความเข้มกำลังลดลง จากขนาดความเข้ม 4 เกาส์ เหลือเพียง
0.4-0.5 เกาส์ในปัจจุบัน
เขารู้เรื่องนี้ได้โดยเก็บตัวอย่างของฟอสซิลอายุต่างๆ
กันมาเทียบปริมาณความเข้มของสนามแม่เหล็กที่แฝงอยู่ในฟอสซิลเหล่านี้
สมมติฐานจึงมีอีกว่า ปัจจัยอะไรก็ตามที่ไปลดความเข้มสนามแม่เหล็กโลก จะไม่ดีต่อสุขภาพ
และปัจจัยที่เพิ่มสนามแม่เหล็กโลกที่มีต่อตัวเรา ด้วยความเข้มที่พอประมาณ จะช่วยจรรโลงสุขภาพ
และตรงนี้เองเกิดมีข้อสันนิษฐานเพิ่มเติมว่า
ศาสตร์โบราณว่าด้วยการจัดทิศทางของอาคารบ้านเรือน ประตู หน้าต่าง
การตกแต่งด้วยต้นไม้ สระน้ำ และก้อนหินในบ้านหรือสำนักงาน
ที่เรารู้จักกันในนาม “
เฟิงสุ่ย Fengshui” หรือ “
ฮวงจุ้ย” นั้น น่าจะมีอิทธิพลต่อสนามพลังของแม่เหล็กโลก
ข้อสงสัยมีว่า เพียงแค่ก้อนหิน ต้นไม้ คอนกรีต
จะไปมีแรงเหนี่ยวนำอะไรต่อสนามแม่เหล็กโลก
จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ต้องรู้จักเรื่องของปฐพีวิทยา เขาแบ่งสิ่งต่างๆ
ที่ไม่ได้เป็นโลหะ ออกตามคุณสมบัติทางแม่เหล็กออกเป็น
ไดอาแมกเนติก (diamagnetic) คือสารที่ถูกปฏิเสธหรือผลักดันโดยพลังแม่เหล็กแรงๆ และ
สารพาราแมกเนติก (paramagnetic)
มีคุณสมบัติที่ถูกดูดดึงได้โดยสนามแม่เหล็กแรงๆ ชนิดหลังนี้ได้แก่ แกรนิต
ดิน หินทราย ซึ่งล้วนเป็นวัสดุก่อสร้างแต่ครั้งโบราณจนปัจจุบัน
สารพาราแมกเนติกแม้จะไม่ได้กลายเป็นแม่เหล็กในตัวมันเองได้เหมือนเหล็กหรือ
โคบอลต์ แต่มันก็ยอมรับและดูดซับพลังแม่เหล็กระดับหนึ่ง
และวัสดุก่อสร้างเหล่านี้มีผลต่อคน สัตว์
และพืชที่อาศัยอยู่ในอาคารสิ่งก่อสร้างเหล่านี้
นี่คือความลับของสิ่งก่อสร้างโบราณนับตั้งแต่พีระมิดหรือแท่งหินโอ
เบลิสก์ของอียิปต์ สโตนเฮนช์ ในอังกฤษ สุสานซื่อซานหลิงในจีน
รวมถึงตึกกลมในไอร์แลนด์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากในแง่ของสนามพลัง
และมีงานวิจัยที่สนุกสนานมากว่าด้วยสนามพลังเหล่านี้